DeepSeek: 'ฮีโร่เอไอ' ของจีนเอาชนะข้อจำกัดของสหรัฐฯ
เมื่อแชทจีพีที (ChatGPT) จู่โจมเข้ามาในโลกปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกิดคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ มันสร้างปัญหาให้กับจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งทางเทคโนโลยีรายใหญ่ที่สุดของอเมริกาหรือไม่
ผ่านไป 2 ปี โมเดลเอไอใหม่จากจีนกลับพลิกคำถามดังกล่าวมาเป็นว่า สหรัฐฯ สามารถหยุดยั้งนวัตกรรมของจีนได้หรือไม่
ในช่วงเวลาหนึ่ง ทางการจีนดูเหมือนจะสับสนกับคำตอบของ ChatGPT ซึ่งไม่เปิดให้ใช้งานได้ในจีน
ผู้ใช้งานที่ไม่พอใจจึงสร้าง Ernie แชทบอตจากเครื่องมือค้นหายักษ์ใหญ่ไป่ตู้ (Baidu) จากนั้นจึงมีเวอร์ชั่นจากบริษัทด้านเทคโนโลยีอย่างเทนเซ็นต์ (Tencent) และไบต์แดนซ์ (ByteDance) ตามมา ซึ่งไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรนัก จากการพยายามตามรอย ChatGPT แต่ทำได้ไม่ดีเท่า
ทางการสหรัฐฯ มั่นใจว่าพวกเขานำหน้าอยู่ และต้องการให้ยังเป็นแบบนั้น ในการบริหารของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน จึงได้เพิ่มการจำกัดการส่งออกชิปและเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการเปิดตัว DeepSeek ทำให้บริษัทด้านเทคโนโลยีในซิลิคอนวัลเลย์และทั่วโลกต้องรู้สึกประหลาดใจ ซึ่งบริษัทผู้ก่อตั้งระบุว่าโมเดลที่ทรงพลังของมัน ราคาถูกกว่าเงินหลายพันล้านที่บริษัทในสหรัฐฯ ใช้จ่ายไปกับ AI
แล้ว บริษัทซึ่งยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนี้ พร้อมกับเจ้าของที่ได้รับการสรรเสริญในโซเชียลมีเดียจีนว่าเป็น "ฮีโร่เอไอ" ทำสิ่งนี้ได้อย่างไร
อุปสรรคและความท้าทาย
เมื่อสหรัฐฯ สั่งห้ามไม่ให้ผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลกอย่างเอ็นวิเดีย (Nvidia) ขายเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน แน่นอนว่า เรืองนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
ชิปเหล่านั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างโมเดล AI ที่ทรงพลังที่สามารถทำงานของมนุษย์ได้หลากหลาย ตั้งแต่การตอบคำถามพื้นฐาน ไปจนถึงการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน
เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งดีฟซีก (DeepSeek) กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่น ว่าการห้ามขายชิป[กับพวกเขา] เป็น "ความท้าทายหลัก" ของพวกเขา
เป็นเวลานานก่อนหน้าที่จะถูกแบน DeepSeek รวมรวบ "คลังวัสดุทดแทน" ของชิป Nvidia A100 ซึ่งถูกคาดการณ์ว่ามีการรวบรวมไว้ตั้งแต่ 10,000 - 50,000 ชิ้น จากข้อมูลของ MIT Technology Review
มีการคาดการณ์ว่า โมเดล AI ชั้นนำของชาติตะวันตก ใช้ชิปที่ถูกออกแบบมาเฉพาะทางราว 16,000 ชิ้น แต่ DeepSeek ระบุว่า ในการฝึกโมเดล AI ของพวกเขา ใช้ชิปลักษณะนั้นแค่ราว 2,000 ชิ้น ส่วนอีกพัน ๆ ชิ้นใช้ชิปเกรดต่ำกว่า ทำให้พวกเขาสามารถทำราคาได้ถูกกว่า
บางคน เช่น เศรษฐีด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อย่าง อีลอน มัสก์ ตั้งคำถามกับคำกล่าวอ้างนี้ เขาแย้งว่าบริษัทไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าได้ใช้ชิปขั้นสูงไปจำนวนเท่าไหร่ ภายใต้ข้อกำหนดที่มีอยู่
แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การคำสั่งห้ามจากรัฐบาลสหรัฐฯ นำพาทั้งความท้าทายและโอกาสมาให้กับอุตสาหกรรม AI จีน
นี่ได้ "กระตุ้นให้บริษัทจีนอย่าง DeepSeek คิดค้นนวัตกรรม" เพื่อให้พวกเขาสามารถทำได้มากกว่า ด้วยทรัพยากรที่น้อยกว่า มารีนา จาง รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนครซิดนีย์ (University of Technology Sydney) กล่าว
ในขณะที่ข้อจำกัดเหล่านี้สร้างความท้าทาย อีกทางหนึ่งมันก็ทำให้เกิดความสร้างสรรค์และยืดหยุ่นในการคิดหาทางออกใหม่ ๆ สอดคล้องกับเป้าหมายทางนโยบายที่กว้างขึ้นของจีนในการมีความเป็นอิสระทางเทคโนโลยี
ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอย่างจีน ได้ลงทุนอย่างหนักกับเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ตั้งแต่แบตเตอรี่ที่ให้พลังงานยานยนต์ไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์ จนมาถึง AI
การเปลี่ยนจีนให้เป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี เป็นความมุ่งมั่นของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง มาอย่างยาวนาน ข้อจำกัดจากทางการสหรัฐฯ จึงเป็นความท้าทายหนึ่งที่รัฐบาลจีนต้องรับมือ
เกรกอรี ซี อัลเลน ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการต่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies) ระบุ การเปิดตัวโมเดลใหม่ของ DeepSeek ในวันที่ 20 ม.ค. ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นความตั้งใจ
"ช่วงเวลาและวิธีการที่มันถูกสื่อสาร ชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่รัฐบาลจีนต้องการให้ทุกคนคิด การควบคุมการส่งออกนั่นมันไม่ได้ผล และอเมริกาก็ไม่ใช่ผู้นำโลกด้าน AI" นายอัลเลน อดีตผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์และนโยบาย ของศูนย์ความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Department of Defense Joint Artificial Intelligence Center) กล่าว
ช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ปลุกปั้นผู้มีความสามารถด้าน AI ด้วยการให้ทุนการศึกษาและทุนวิจัย รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยต่าง ๆ กับภาคอุตสาหกรรม
ห้องปฏิบัติการทางวิศวกรรมแห่งชาติสำหรับการเรียนรู้เชิงลึก (The National Engineering Laboratory for Deep Learning) และการริเริ่มอื่น ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ได้ช่วยฝึกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้าน AI เป็นพัน ๆ คน น.ส.จาง เปิดเผยและจีนยังมีวิศวกรที่เฉลียวฉลาดจำนวนมากที่สามารถสรรหาได้
ความสามารถ
ยกตัวอย่างทีมของ DeepSeek ที่สื่อจีนรายงานว่า ทีมของดีฟซีกประกอบไปด้วยคนน้อยกว่า 140 คน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกพูดถึงในอินเทอร์เน็ตว่าเป็น "ผู้มีพรสวรรค์ที่เติบโตจากในประเทศ" จากหลายมหาวิทยาลัยชั้นนำในจีน
ผู้สังเกตการณ์ชาวตะวันตกไม่เท่าทันต่อการเกิดขึ้นของ "ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยพื้นฐานและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในระยะยาว มากกว่าผลกำไรระยะสั้น" น.ส.จาง ระบุ
มหาวิทยาลัยระดับท็อป ๆ ในจีน กำลังสร้าง "คลังผู้มีความสามารถด้าน AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว" ที่แม้กระทั่งคนในระดับผู้จัดการก็มักมีอายุไม่เกิน 35 ปี
"การได้เติบโตในช่วงเวลาที่จีนมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างฉับพลัน ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นจากแรงผลักดันที่ต้องการพึ่งพาตนเองในการสร้างนวัตกรรม" เธอกล่าวเสริม
เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek คือหนึ่งในตัวอย่าง เขาอายุ 40 ปี เรียนรู้ AI ที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ในบทความบนเว็บไซต์ด้านเทคโนโลยีอย่าง 36Kr ผู้คนคุ้นเคยกับการที่เขาเรียกตัวเองว่าเป็น "ผู้ลุ่มหลง (geek) มากกว่าจะเป็นเจ้านาย (boss)"
ขณะที่สื่อจีนให้คำนิยามเขาว่าเป็น "นักอุดมคติด้านเทคนิค" เขายืนยันที่จะทำให้ DeepSeek เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเข้าถึงและปรับปรุงได้ (open-source) ซึ่งในความเป็นจริง ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็เชื่อว่าการเติบโตอย่างแข็งแรงของวัฒนธรรม "open-source" ช่วยให้สตาร์ทอัพรุ่นใหม่สามารถรวบรวมคลังทรัพยากรและพัฒนาได้เร็วขึ้น
แตกต่างจากเหล่าบริษัทเทคโนโลยีจีนที่ใหญ่กว่า DeepSeek ให้ความสำคัญกับการค้นคว้าวิจัย ซึ่งทำให้เกิดการกระบวนการทดลองที่มากกว่า จากการเปิดเผยของผู้เชี่ยวชาญและคนที่เคยทำงานให้กับบริษัท
"ผู้มีพรสวรรค์ที่สุดในด้านนี้ 50 คนแรก อาจไม่ได้อยู่ในจีน แต่เราสร้างคนแบบนั้นได้ที่นี่" นายเหลียง เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์กับ 36Kr
แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังสงสัยว่า DeepSeek จะไปได้อีกไกลแค่ไหน น.ส.จาง ระบุว่า "ข้อจำกัดใหม่ของสหรัฐฯ อาจจำกัดการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกัน ซึ่งมีโอกาสที่จะกระทบกับโมเดลของจีนอย่าง DeepSeek ในการไปสู่ตลาดโลก"
และบางคนก็มองว่าสหรัฐฯ ยังคงมีข้อได้เปรียบอยู่มาก เช่นอย่างที่นายอัลเลนกล่าวว่า "พวกเขามีทรัพยากรทางคอมพิวเตอร์จำนวนมหาศาล" และมันก็ยังไม่ชัดเจนว่า DeepSeek จะยังคงใช้ชิปขั้นสูงในการพัฒนาโมเดลอย่างไรแต่สำหรับตอนนี้ DeepSeek กำลังเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่ได้รับความสนใจ หลังจากที่คนส่วนมากในจีนไม่เคยได้ยินถึงมันมาก่อนจนกระทั่งสุดสัปดาห์นี้
ชื่อเสียงที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดทำให้ นายเหลียง กลายเป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดียของจีน ซึ่งเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน "สามฮีโร่เอไอ" จากมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ ซึ่งมีพรมแดนติดกับฮ่องกง
ส่วนอีกสองคนคือ จือหลิน หยาง ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำจามหาวิทยาลัยชิงหวา (Tsinghua University) และ ไข่หมิง เหอ ซึ่งกำลังสอนอยู่ที่ MIT ในสหรัฐฯ
DeepSeek สร้างบรรยากาศของความสุขในอินเทอร์เน็ตจีน ก่อนถึงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นเทศกาลวันหยุดที่สำคัญ เป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะยากลำบาก และอุตสาหกรรมทางเทคโนโลยีที่ต้องเตรียมตัวรับมือกับภาษี รวมถึงการขายธุรกิจสหรัฐฯ ที่อยู่ในติ๊กตอก (TikTok) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้
"DeepSeek แสดงให้เราเห็นว่า ถ้าคุณมีของจริง ๆ คุณก็จะผ่านบททดสอบของเวลา" ความคิดเห็นที่มียอดไลก์สูงสุดในเว่ยป๋อ (Weibo) ระบุ"นี่เป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดเลย ขอให้แผ่นดินแม่ของเรารุ่งโรจน์และแข็งแรง" อีกความเห็นระบุ
"มันผสมผสานกันไประหว่างความตกใจและความตื่นเต้น โดยเฉพาะภายในสังคมของ open-source" เว่ย ซัน นักวิเคราะห์ด้านหลักการ AI ที่ Counterpoint Research อธิบายถึงผลการตอบรับในจีน
คำบรรยายภาพ,ความสำเร็จของ DeepSeek ได้รับการส่งเสียงสนับสนุนในจีน ในช่วงวันหยุดเทศกาลที่สำคัญที่สุดของประเทศอย่างตรุษจีนฟิโอนา โจว นักเทคโนโลยีในเมืองทางตอนใต้ของนครเซินเจิ้น บอกว่าหน้าฟีดโซเชียลมีเดียของเธอ "เต็มไปด้วยโพสต์ที่เกี่ยวกับ DeepSeek เมื่อวานนี้"
"ผู้คนเรียกมันว่า 'เกียรติยศของคำว่า สินค้าที่ผลิตในจีน (made-in-China) และบอกว่ามันทำให้ซิลิคอนวัลเลย์ตกตะลึง ฉันก็เลยลองดาวน์โหลดเพื่อดูว่ามันดีขนาดไหน"
เธอถามมันถึง "เสาหลักสี่ด้านของโชคชะตา [ของเธอ]" หรือ "ปาจื่อ" (ba-zi) ซึ่งเป็นการดูดวงเฉพาะบุคคลจากวันและเวลาเกิด
แต่เธอก็ต้องผิดหวังกับการให้คำตอบที่ผิดพลาดของ DeepSeek ขณะที่เธอป้อนคำอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับ "วิธีการคิด" ผลที่ได้รับกลับไม่ใช่ "เสาหลักสี่ด้าน" จากปาจื่อจริง ๆ ของเธอเธอบอกว่าเธอจะลองให้โอกาสมันอีกครั้งในการทำงาน เพราะคิดว่ามันคงมีประโยชน์มากกว่าเมื่อใช้งานในลักษณะนั้น