รีวิวเจาะลึก iPhone 17 Pro: เมื่อ ‘โปร’ ที่แท้ทรู ไม่ได้มีแค่ชื่อ!

เปิดประสบการณ์ iPhone 17 Pro: 'โปร' ที่ไม่ได้มาเล่น ๆ
ถ้าคุณคิดว่า Apple จะแค่ปรับดีไซน์นิดหน่อยแล้วก็ปล่อยของใหม่มาให้เสียเงินเล่น ๆ ล่ะก็ ขอบอกเลยว่า iPhone 17 Pro ตัวนี้ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน! หลังจากที่ Apple เริ่มทำอะไรใหม่ ๆ ทั้ง iPhone Air ที่เบากว่าเดิม และ iPhone ตัวเริ่มต้นที่อัปเกรดมาแบบจัดเต็ม คราวนี้ถึงคิวของ iPhone 17 Pro ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

น้ำหนักกับวัสดุ: 'หนา-หนัก' แต่ได้ใจ!
ย้อนกลับไปตอน iPhone 14 Pro ที่ใช้สแตนเลสสตีล น้ำหนัก 206 กรัม พอมา 15 Pro ที่เปลี่ยนไปใช้ไทเทเนียมก็ลดลงมาเหลือ 187 กรัม จากนั้น 16 Pro Max ก็กลับมาหนักขึ้นนิดหน่อยที่ 199 กรัม

แต่พอมาถึงรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 17 Pro ที่กลับไปใช้วัสดุอลูมิเนียมอีกครั้งหลังจากไม่ได้ใช้กับรุ่นโปรมานานแสนนาน น้ำหนักก็พุ่งกลับไปเท่ากับรุ่น 14 Pro ที่ 206 กรัม แถมยังหนาขึ้นเล็กน้อยในทุกมิติอีกด้วย อาจจะดูไม่เยอะ แต่บอกเลยว่าถือในมือแล้วรู้สึกได้ถึงความ "หนักแน่น" แบบไม่คุ้นชินเท่าไร

แต่ช้าก่อน! การกลับมาของอลูมิเนียมไม่ได้มีแค่เรื่องน้ำหนัก เพราะอลูมิเนียมระบายความร้อนได้ดีกว่าไทเทเนียมเยอะเลย แถมรอบนี้ Apple ยังจัดหนักใส่ระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber มาให้ด้วยสองต่อ บอกเลยว่าสายเล่นเกมหรือใช้งานหนัก ๆ มีเฮแน่นอน เพราะประสิทธิภาพเครื่องน่าจะนิ่งขึ้นแบบเห็นได้ชัด

กระจกสุดแกร่งและดีไซน์แบบใหม่ไม่ซ้ำใคร
นอกจากอลูมิเนียมแล้ว ด้านหลังตัวเครื่องก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วยดีไซน์ทูโทนที่เราเห็นในเครื่องสี Deep Blue ที่ได้มา โดยเฉพาะ "หน้าต่าง" ที่เป็นวัสดุ Ceramic Shield คล้ายกับด้านหน้า ที่เข้ามาช่วยเสริมลุคให้ดูพรีเมียม แต่ก็มีบางคนบ่นว่าพอมีเกาะกล้องที่ใหญ่ขึ้นด้วยแล้ว ด้านหลังดูรกไปหน่อย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนนะ

แต่ที่ว้าวสุด ๆ คือกระจกหน้าจอ! Apple พัฒนา Ceramic Shield ให้ทนรอยขีดข่วนขึ้น 3 เท่า (จาก Mohs Level 4 เป็น 5) และทนการแตกร้าวขึ้น 4 เท่า บอกเลยว่าเอาไปใส่ในกระเป๋าที่มีกุญแจก็สบายใจขึ้นเยอะ นอกจากนี้ยังมาพร้อมสารเคลือบกันแสงสะท้อน ที่ปกติ Samsung จะใส่ให้แค่ในรุ่น Ultra เท่านั้น แถมยังเป็นของที่ Apple หวงมาก ๆ ถึงขนาดถ้าอยากได้กระจกแบบ Nano-etched บน iPad Pro ยังต้องจ่ายเพิ่มอีกเกือบ 4,000 บาทเลย

พอรวมกับหน้าจอที่สว่างขึ้นถึง 3,000 nits (จากเดิม 2,000 nits) บอกเลยว่าการใช้งานกลางแดดจัด ๆ ที่บ้านเราแทบจะตลอดเวลาก็หายห่วงเลย อ่านข้อความหรือดูแผนที่ก็ชัดแจ๋ว แต่ถ้าใช้งานในที่ร่มอาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความต่างขนาดนั้น

กล้องเทพที่พัฒนาให้ยืดหยุ่นกว่าเดิม
อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือกล้อง! ถึงแม้ดีไซน์จะดูคุ้นตา แต่โมดูลกล้องใหม่ทั้งกล้อง Telephoto และกล้องหน้า บอกเลยว่าไม่ธรรมดา

กล้อง Telephoto: ถึงจะลดกำลังซูมจาก 5x/120mm เหลือ 4x/100mm แต่ก็เพิ่มความละเอียดเป็น 48MP แถมมีฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้ซูมได้ถึง** 8x/200mm** แบบไม่เสียรายละเอียด ทำให้เรามีตัวเลือกในการซูมถึง 4 ระยะ คือ 1x, 2x, 4x และ 8x ให้ใช้งานได้ยืดหยุ่นมากขึ้น

กล้องหน้า: เปลี่ยนมาใช้เซ็นเซอร์ 18MP แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่มีฟีเจอร์ Center Stage ทำให้เราอยู่กลางเฟรมตลอดเวลา แถมยังขยายมุมมองให้กว้างขึ้นเมื่อมีคนอื่นเข้ามาในเฟรมด้วย และฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Dual Capture ที่สามารถบันทึกวิดีโอจากกล้องหลังพร้อมกับมีหน้าต่างเล็ก ๆ จากกล้องหน้าไปพร้อมกันได้เลย ถึงแม้จะเคยมีในมือถือแบรนด์อื่น ๆ มาก่อน แต่สำหรับ Apple ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มาพร้อมฟีเจอร์ที่มีประโยชน์จริง ๆ

แบตอึดขึ้น แต่ยังต้องซื้อหัวชาร์จเพิ่ม!
มาถึงเรื่องน่าหงุดหงิดนิดหน่อย นั่นก็คือการชาร์จแบบมีสายที่ไวขึ้น แต่ในกล่องกลับไม่มีหัวชาร์จมาให้! Apple บอกว่าเรามีหัวชาร์จกันเยอะแล้ว แต่หัวชาร์จที่รองรับเทคโนโลยี AVS (Adaptive Voltage Scaling) ที่แนะนำสำหรับการชาร์จที่เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่มีแน่นอน ทำให้ต้องไปเสียเงินเพิ่มอีกประมาณ 1,4xx บาท (จากราคา $40) เพื่อซื้อหัวชาร์จใหม่

แต่ยังโชคดีที่แบตเตอรี่ในรุ่นนี้เพิ่มความจุมาให้ด้วย! โดยรุ่นที่รองรับ Nano-SIM จะมีความจุเพิ่มขึ้น 406mAh และรุ่น eSIM-only จะเพิ่มขึ้นถึง 670mAh ขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณซื้อ

โดยรวมแล้ว iPhone 17 Pro ถือเป็นการอัปเกรดที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชื่อแล้วจบกันไป งานนี้ต้องมารอดูกันว่าผลการทดสอบเต็ม ๆ จะออกมาเป็นยังไง จะคุ้มค่าสมกับความเป็น 'โปร' จริง ๆ หรือเปล่า ต้องรอติดตามกันเร็ว ๆ นี้เลย!